Security System

Security Standards and Compliance

Vibecards Security System ensures that all operations adhere to industry security standards and compliance regulations, providing robust protection and reliability in safeguarding sensitive data.

SAAS Model

ระบบ Vibecards มีความเสถียรสูงด้วยเทคโนโลยี High Availability นำเสนอในรูปแบบซอฟต์แวร์พร้อมใช้งาน (SaaS) โดยมีโครงสร้างที่แยกการใช้งานของแต่ละลูกค้าเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล อีกทั้งยังป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

SAAS Model (Software as a Service)
SAAS Model หรือ Software as a Service เป็นหนึ่งในระบบรักษาความปลอดภัยของ Vibecards ที่ใช้แนวคิดการให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งมีข้อดีด้านความปลอดภัยหลายประการ:
1. การอัปเดตอัตโนมัติ: ระบบจะได้รับการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดอยู่เสมอ โดยไม่ต้องรอให้ผู้ใช้ดำเนินการเอง
2. การสำรองข้อมูล: ข้อมูลจะถูกสำรองอย่างสม่ำเสมอบนระบบคลาวด์ ลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูล
3. การเข้าถึงจากทุกที่: ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ผ่านการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย
4. การจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ: ระบบสามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการ ทำให้รองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. การแยกข้อมูลระหว่างผู้ใช้: แต่ละบัญชีผู้ใช้จะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
SAAS Model ของ Vibecards ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลบนนามบัตร NFC ของคุณจะได้รับการปกป้องด้วยเทคโนโลยีล่าสุดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

Integrity

ป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลที่ครอบคลุม โดยปกป้องทั้งข้อมูลที่เก็บในฐานข้อมูล (Data at rest) และข้อมูลที่อยู่ระหว่างรับส่ง (Data in motion) และยังมีการตรวจสอบ (audit) การเข้าถึงด้วย Key อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบ

Integrity (Data Integrity)
ระบบรักษาความปลอดภัย Integrity เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการปกป้องข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ มีหลักการสำคัญดังนี้:
1. การรักษาความถูกต้องของข้อมูล: ป้องกันการแก้ไขหรือทำลายข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง: ใช้เทคนิคเช่น checksums หรือ digital signatures เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล
3. การควบคุมการเข้าถึง: จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาต
4. การเข้ารหัสข้อมูล: ป้องกันการอ่านข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
5. การตรวจสอบประวัติการใช้งาน: บันทึกและตรวจสอบกิจกรรมต่างๆ ในระบบ
6. การสำรองและกู้คืนข้อมูล: ป้องกันการสูญหายของข้อมูลจากความผิดพลาดหรือการโจมตี
ระบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กร

SSL Certificate

ใช้การเข้ารหัส SSL (Secure Socket Layer) เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลและการปลอมแปลงเว็บไซต์ต่างๆ SSL เป็นมาตรฐานความปลอดภัยในการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ ทำให้การรับส่งข้อมูลมีความปลอดภัย

SSL Certificate หรือใบรับรองความปลอดภัย SSL
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยในการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ ต่อไปนี้คือคำอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับระบบนี้:
1. การเข้ารหัส: SSL ใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องข้อมูลที่ส่งระหว่างผู้ใช้และเว็บไซต์
2. การยืนยันตัวตน: ช่วยยืนยันว่าเว็บไซต์ที่ผู้ใช้กำลังเยี่ยมชมเป็นเว็บไซต์ที่แท้จริง ไม่ใช่เว็บไซต์ปลอม
3. ความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่มี SSL จะแสดงไอคอนกุญแจล็อคและ "https://" ในแถบที่อยู่ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
4. การป้องกันการโจมตี: ช่วยป้องกันการโจมตีแบบ man-in-the-middle และการดักจับข้อมูล
5. การออกใบรับรอง: SSL Certificates ออกโดยหน่วยงานที่เชื่อถือได้ (Certificate Authorities) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของเว็บไซต์
6. ประเภทต่างๆ: มีหลายประเภท เช่น Domain Validation (DV), Organization Validation (OV), และ Extended Validation (EV) ซึ่งมีระดับการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือที่แตกต่างกัน

Cloudflare Security

เป็นผู้ให้บริการระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการเข้าถึงระบบที่ปลอดภัย รวดเร็ว และเชื่อถือได้ Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์และ API รวมถึงครอบคลุมเครือข่ายขององค์กร โดยใช้ Web Application Firewall เพื่อปกป้องระบบงานภายในองค์กร

Cloudflare
เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพสำหรับเว็บไซต์ ระบบรักษาความปลอดภัยของ Cloudflare มีคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้:
1. การป้องกัน DDoS: ช่วยปกป้องเว็บไซต์จากการโจมตีแบบ DDoS โดยกรองทราฟฟิกที่เป็นอันตราย
2. ไฟร์วอลล์แอปพลิเคชัน (WAF): ป้องกันการโจมตีเว็บแอปพลิเคชัน เช่น SQL injection และ cross-site scripting
3. SSL/TLS: ให้บริการการเข้ารหัส SSL/TLS เพื่อปกป้องการสื่อสารระหว่างผู้ใช้และเว็บไซต์
4. บอทป้องกัน: ตรวจจับและบล็อกทราฟฟิกที่เป็นอันตรายจากบอท
5. การตรวจสอบตัวตน: มีตัวเลือกสำหรับการยืนยันตัวตนผู้ใช้เพิ่มเติม
6. การป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล: ช่วยป้องกันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไม่ให้รั่วไหล
7. การวิเคราะห์ความปลอดภัย: ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามและแนวโน้มทราฟฟิก
Cloudflare ทำงานโดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ ช่วยกรองทราฟฟิกที่เป็นอันตรายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

Web Application Firewall

กำหนดค่ากฎต่างๆ และสามารถเชื่อมต่อกับ Terraform ได้ ทุกการเข้าถึงเว็บไซต์จะได้รับการตรวจสอบ ซึ่งจะตรวจหาภัยคุกคามและการเข้าถึงที่น่าสงสัย และสามารถบล็อกได้ นอกจากนี้ ระบบยังสามารถบันทึกข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ภัยคุกคามในอนาคตได้

Web Application Firewall (WAF)
ระบบรักษาความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องเว็บแอปพลิเคชันจากภัยคุกคามต่างๆ โดยทำหน้าที่ตรวจสอบและกรองการจราจรทางเว็บระหว่างไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์ ต่อไปนี้คือคำอธิบายโดยสรุปเกี่ยวกับ WAF:
1. การทำงาน: WAF ตรวจสอบคำขอ HTTP/HTTPS ที่ส่งไปยังเว็บแอปพลิเคชัน และบล็อกการโจมตีที่อาจเป็นอันตราย
2. การป้องกันภัยคุกคาม: ช่วยป้องกันการโจมตีแบบ SQL Injection, Cross-Site Scripting (XSS), Cross-Site Request Forgery (CSRF) และภัยคุกคามอื่นๆ
3. กฎการรักษาความปลอดภัย: ใช้ชุดกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและกฎที่ปรับแต่งเองเพื่อตรวจจับและบล็อกการจราจรที่น่าสงสัย
4. การตรวจสอบเชิงลึก: วิเคราะห์ทั้งส่วนหัว (headers) และเนื้อหา (payload) ของคำขอ HTTP
5. การปรับใช้: สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือบริการคลาวด์
6. การปรับแต่ง: สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละเว็บแอปพลิเคชั่น
7. การรายงานและการแจ้งเตือน: ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามและแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบเมื่อตรวจพบกิจกรรมที่น่าสงสัย

Connecting NFC Card

เชื่อมข้อมูล Proflie กับบัตร NFC ผ่านแอปพลิเคชั่น Vibecards ซึ่งได้รับการรับรองว่ามีมาตรฐานและมีการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อย่างเข้มงวดทั้งบนระบบ Android และ iOS เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจในการใช้งานและแบ่งปันข้อมูลต่างๆผ่านแอปพลิเคชัน

Connecting NFC Card
ระบบรักษาความปลอดภัยของการเชื่อมต่อบัตร NFC มีหลายองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้:
1. การเข้ารหัสข้อมูล: ข้อมูลที่ส่งระหว่างบัตรและเครื่องอ่านจะถูกเข้ารหัสเพื่อป้องกันการดักจับข้อมูล
2. การยืนยันตัวตน: มีการใช้คีย์ลับร่วมกันระหว่างบัตรและระบบเพื่อยืนยันว่าเป็นบัตรที่ถูกต้อง
3. การป้องกันการโคลนบัตร: บัตร NFC มีหมายเลขเฉพาะที่ไม่สามารถคัดลอกได้
4. การป้องกันการส่งข้อมูลซ้ำ: ระบบจะตรวจสอบและป้องกันไม่ให้มีการส่งข้อมูลธุรกรรมเดิมซ้ำ
5. ระยะการทำงานสั้น: NFC ทำงานในระยะใกล้มากๆ ทำให้ยากต่อการดักจับสัญญาณ
6. การเปลี่ยนรหัสอัตโนมัติ: บางระบบมีการเปลี่ยนรหัสยืนยันตัวตนทุกครั้งที่ใช้งาน

Technical Software Support & Availability

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ เราในฐานะผู้ให้บริการชั้นนำในกลุ่มนี้ได้จัดตั้งทีมบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ หรือที่รู้จักกันในชื่อ MSP (Managed Service Providers)

Technical Software Support & Availability
ระบบรักษาความปลอดภัยของ Technical Software Support & Availability มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
1. การควบคุมการเข้าถึง: ระบบยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (Multi-factor authentication) และกำหนดสิทธิ์ตามบทบาทหน้าที่ (Role-based access control)
2. การเข้ารหัสข้อมูล: เข้ารหัสข้อมูลที่สำคัญทั้งขณะจัดเก็บและส่งผ่านเครือข่าย
3. การตรวจสอบและบันทึกกิจกรรม: ระบบบันทึกการเข้าถึงและการดำเนินการต่างๆ (Audit logs) และตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ
4. การสำรองข้อมูลและกู้คืนระบบ: การสำรองข้อมูลอัตโนมัติและแผนกู้คืนระบบกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
5. การอัปเดตและแพทช์ความปลอดภัย: การติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
6. การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก: ไฟร์วอลล์และระบบป้องกันการบุกรุกและการป้องกันการโจมตีแบบ DDoS
7. ความพร้อมใช้งานของระบบ: การใช้ระบบคลาวด์ที่มีความพร้อมใช้งานสูงและการกระจายระบบไปยังหลายศูนย์ข้อมูล
8. การฝึกอบรมพนักงาน: การให้ความรู้ด้านความปลอดภัยแก่ทีมสนับสนุนทางเทคนิค

Data Security And Confidentiality

มาตรการรักษาความปลอดภัยพื้นฐาน ตรวจจับการบุกรุก (IDS) และโปรแกรมป้องกันไวรัส ซึ่งช่วยป้องกันการเข้าถึงทั้ง Firewall ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากภายนอก IDS ตรวจจับภัยคุกคามภายในระบบ และโปรแกรมป้องกันไวรัสต่าง ๆ

Data Security And Confidentiality
ระบบรักษาความปลอดภัยด้าน Data Security และ Confidentiality มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
1. การเข้ารหัสข้อมูล: เข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บ (Data at rest encryption) และเข้ารหัสข้อมูลระหว่างการส่ง (Data in transit encryption)
2. การควบคุมการเข้าถึง: ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย การกำหนดสิทธิ์แบบละเอียด (Fine-grained access control) และการใช้หลักการให้สิทธิ์น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น (Principle of least privilege)
3. การจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน: การแยกและป้องกันข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ และการใช้เทคนิคการปกปิดข้อมูล (Data masking)
4. การตรวจสอบและบันทึกกิจกรรม: การบันทึกการเข้าถึงและการดำเนินการกับข้อมูลอย่างละเอียด และระบบแจ้งเตือนเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลที่ผิดปกติ
5. การป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล: ระบบป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data Loss Prevention - DLP) และการควบคุมการใช้อุปกรณ์พกพาและการส่งข้อมูลออกนอกระบบ
6. นโยบายและการฝึกอบรม: การกำหนดนโยบายการรักษาความลับของข้อมูล และการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลที่เป็นความลับ
7. การทำลายข้อมูลอย่างปลอดภัย: วิธีการลบข้อมูลแบบถาวรที่ไม่สามารถกู้คืนได้ และการกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
8. การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน: การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสากล เช่น ISO 27001
9. การจัดการกับบุคคลที่สาม: การตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ให้บริการภายนอก

Pentest Certification

ตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาจุดอ่อนและช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการโจมตี การรับรองนี้มักต้องการให้ผู้สอบมีความรู้และทักษะในการเจาะระบบอย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรมและปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

Pentest Certification
ระบบรักษาความปลอดภัย Pentest Certification หรือการรับรองการทดสอบเจาะระบบ เป็นกระบวนการที่สำคัญในการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยของระบบ IT โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
1. การวางแผนและขอบเขต: กำหนดขอบเขตของระบบที่จะทดสอบ และวางแผนการทดสอบและกำหนดวิธีการ
2. การทดสอบเจาะระบบ: ใช้เทคนิคการโจมตีแบบต่างๆ เพื่อค้นหาช่องโหว่ และทดสอบทั้งจากภายนอกและภายในองค์กร
3. การวิเคราะห์ผล: ประเมินความรุนแรงของช่องโหว่ที่พบ และจัดทำรายงานผลการทดสอบอย่างละเอียด
4. การแก้ไขและตรวจสอบซ้ำ: ให้คำแนะนำในการแก้ไขช่องโหว่ และทดสอบซ้ำหลังจากแก้ไขเพื่อยืนยันว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว
5. การรับรอง: ออกใบรับรองหรือรายงานการผ่านการทดสอบ และระบุระดับความปลอดภัยที่ผ่านการรับรอง
6. การปฏิบัติตามมาตรฐาน: ทดสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล เช่น OWASP, NIST และตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
7. การฝึกอบรมและพัฒนา: ให้ความรู้แก่ทีม IT เกี่ยวกับช่องโหว่ที่พบ และเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาความปลอดภัยระยะยาว
8. การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง: กำหนดแผนการทดสอบเป็นระยะ และปรับปรุงวิธีการทดสอบให้ทันสมัยอยู่เสมอ
9. การรักษาความลับ: ปกป้องข้อมูลที่ได้จากการทดสอบอย่างเคร่งครัด และจำกัดการเข้าถึงผลการทดสอบเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง

Certification

MFEC is certified with ISO/IEC 20000 & ISO/IEC 27001

รับรองมาตรฐานสูงสุดในการบริหารจัดการบริการ IT และความปลอดภัยของข้อมูล

Made in Thailand

โมเดลองค์กรจัดทำโดยบริษัท เอ็มเฟค จำกัด (มหาชน) (สำนักงานใหญ่) เลขทะเบียนนิติบุคคล 0107546000156

vibecards มอบวิธีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับบุคคลและธุรกิจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อและเครือข่ายอย่างมืออาชีพ
ข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลการติดต่อ